วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การปลูกข้าวแบบล้มตอซัง


วันนี้คุณครูจ๊ะเอ๋ ขอพาพวกเรามารู้จักกับภูมิปัญญาของคนบ้านคลองบัว ตำบลระแหงบ้านเรา ที่โด่งดังกลายเป็นภูมิปัญญาความรู้ที่ขยายตัวไปในหลายพื้นที่ ทั่วประเทศไทย นั่นคือ ภูมิปัญญา "การทำนาข้าวแบบล้มตอซัง"
" การปลูกข้าวแบบล้มตอซัง " เป็นเทคโนโลยีชาวบ้านซึ่งเกิดจาก " ภูมปัญญาท้องถิ่น " (Local Wisdom หรือ Indigenous Knowledge)เกษตรกรเป็นผู้ค้นพบโดยบังเอิญมีเทคนิคและวิธีการปฏิบัติโดยไม่ต้องเตรียมดิน และไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ปลูก อาศัยหลักการปฏิบัติ โดยเกลี่ยฟางข้าวให้กระจายทั่วแปลงและย่ำตอซังให้ราบติดกับพื้นนา ในขณะที่ดินต้องมีความชื้นหมาด ๆ การปลูกข้าวด้วยวิธีนี้เกษตรกรบางพื้นที่เรียกว่า " การปลูกข้าวด้วยตอซัง " และนักวิชาการด้านข้าวเรียกว่า " การปลูกข้าวข่มตอ " (Lodge Ratoon Rice)
ในปี 2539 นายละเมียด ครุฑเงิน อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46 หมู่ 9 ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เป็นเกษตรกรที่ชั่งสังเกตและสะสมประสบการณ์จากการทำนามาเป็นเวลานาน ได้สังเกต เห็นว่าตอซังของข้าวที่ถูกล้อรถเก็บเกี่ยว(combine)เหยียบย่ำล้มลงราบกับพื้นนาในขณะที่ดินมีความชื้นหมาด ๆ คือ ไม่แห้งและเปียกเกินไปหลังจากการเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จประมาณ 7 - 10วันนั้นจะมีหน่อข้าวแทงขึ้นมาจากโคนตอซังในส่วนที่ติดอยู่กับดินและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องเท่าที่ดินยังมีความชื้นเพียงพอ ในขณะที่ตอซังข้าวที่ไม่ถูกล้อรถเก็บเกี่ยวทับก็จะมีหน่อแตกงอกออกจากข้อของต้นตอซังข้าว แต่สังเกต เห็นว่าหน่อข้าวนี้จะงอกช้ากว่าและมีขนาดเล็กกว่าหน่อที่งอกออกจากตอซังที่ล้มลงด้วยล้อรถเก็บเกี่ยวทับอย่างมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบสนองต่อความอยากรู้ของเกษตรกรเองและคิดว่าหากสามารถปลูกข้าวจากตอได้ก็น่าจะช่วยลดต้นทุนการทำนาได้หลายอย่าง เช่น ค่าเมล็ดพันธุ์ค่าเตรียมดิน นายละเมียด ครุฑเงิน จึงได้ทำการทดสอบ 4ฤดูการผลิตโดยใช้ข้าวพันธุ์สุพรรณบุรี 1ผลปรากฏว่า ได้ผลผลิตสูงไม่แตกต่างจากการใช้เมล็ดหว่าน ซึ่งวิธีการปลูกข้าวเช่นนี้เกษตรกรเรียกว่า " การปลูกข้าวด้วยตอซัง " ปี 2543 มีเกษตรกรในอำเภอลาดหลุมแก้วหลายรายทำนาตามกรรมวิธีของ นายละเมียด ครุฑเงิน รวมพื้นที่ 45,000 ไร่/ฤดูการผลิต และยังได้ขยายผลไปสู่เกษตรกรจังหวัดอื่นๆเช่น สิงห์บุรี ชัยนาท เป็นต้น

การปลูกข้าวล้มตอซังมีเทคนิคและวิธีปฏิบัติดังนี้

1. แปลงที่ปลูกข้าวรุ่นแรก ต้องมีการเตรียมดินและทำเทือกให้ได้ระดับสม่ำเสมอและปลูกข้าวโดยวิธีหว่านน้ำตมโดยใช้พันธุ์ที่ไม่ไวต่อช่วงแสงมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 120 วันควรเป็นพันธุ์ที่มีลำต้นแข็งแรงและทนทานต่อโรคแมลงได้ดี ทั้งนี้ มีอัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ 15 - 20 กก./ไร่
2. ก่อนเก็บเกี่ยวข้าวรุ่นแรกประมาณ 10 วันถ้ามีน้ำขังให้ระบายออกจากแปลง ถ้าไม่มีน้ำขังให้ระบายน้ำเข้าแปลงเมื่อดินในแปลงเปียกทั่วกันแล้วให้ระบายออกเพื่อให้ดินมีความชื้นหมาด ๆ คือ ไม่แห้งหรือไม่เปียกเกินไปหลังเก็บเกี่ยวข้าว
3. เก็บเกี่ยวข้าวในระยะ " พลับพลึง " ห้ามเผาฟางเด็ดขาด และเกษตรกรจะต้องเกลี่ยฟางข้าวให้ทั่วทั้งแปลงอย่างสม่ำเสมอภายใน 1 - 3 วันด้วยอุปกรณ์ติดท้ายแทรกเตอร์ขนาดเล็ก หรือใช้แรงคน เพื่อรักษาความชื้น คลุมวัชพืช และเป็นปุ๋ยหมักให้แก่ต้นข้าว
4. ย่ำตอซังให้ล้มนอนราบกับดินที่มีความชื้นหมาด ๆ โดยใช้รถแทรกเตอร์หรือล้อยางย่ำไปในทิศทางเดียวกัน 2 - 3 เที่ยว เกษตรกรนิยมย่ำตอนเช้ามืด เนื่องจากมีน้ำค้างช่วยให้ฟางข้าวนุ่มและตอซังล้มง่าย
5. หลังจากย่ำตอซังแล้วต้องคอยดูแลไม่ให้น้ำเข้าแปลงโดยทำร่องระบายน้ำเมื่อมีฝนตกลงมาต้องรีบระบายออกให้ทันถ้าปล่อยไว้ข้าวจะเสียหาย
6. เมื่อหน่อข้าวมีใบ 3 - 4 ใบ หรือ 10 - 15 วัน หลังล้มตอซัง ให้ระบายน้ำเข้าแปลงให้ดินแฉะแต่ไม่ท่วมขัง ใส่ปุ๋ยครั้งแรก สูตร 46-0-0 (ยูเรีย) อัตรา 15 - 20 กก./ไร่เพื่อเป็นปุ๋ยแก่ต้นข้าว และช่วยในการย่อยสลายฟางเนื่องจากปุ๋ยยูเรียมีธาตุไนโตรเจนเป็นสารอาหารหลัก
7. หลังจากใส่ปุ๋ยครั้งแรก 5 -7 วัน ระบายน้ำเข้าท่วมขังในแปลงระดับสูง 5 ซม.
8. เมื่อข้าวอายุได้ 35 - 40 วัน หลังล้มตอซัง ใส่ปุ๋ยครั้งที่สอง สูตร 16-20-0 อัตรา 20 - 25 กก./ไร่
9. เมื่อข้าวอายุได้ 50 - 55 วัน หลังล้มตอซัง ถ้าข้าวเจริญเติบโตไม่ดีให้ใส่ปุ๋ยครั้งที่สาม สูตร 46-0-0 อัตรา 15 - 20 กก./ไร่
10. เมื่อข้าวอายุใกล้เก็บเกี่ยว(ประมาณ 80 วันหลังล้มตอซัง) ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ 2 เพื่อให้ดินมีความชื้นพอเหมาะแก่การงอกของตาข้าว ซึ่งเรียกว่า " ข้าวตอที่ 2 " ต่อไป

การปลูกข้าวแบบล้มตอซัง มีเงื่อนไขและข้อจำกัด ดังนี้

1. พันธุ์ข้าวที่ปลูกต้องเป็นพันธุ์ที่ไม่ไวต่อช่วงแสง มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 120 วัน ทั้งนี้เพราะถ้าหากเป็นข้าวที่มีอายุสั้นเกินไป จะทำให้ต้นตออ่อนบาง ไม่แข็งแรง ไม่เหมาะจะล้มตอซัง
2. อยู่ในเขตที่มีน้ำชลประทานสมบูรณ์ สามารถดูแลจัดการหรือควบคุมน้ำในแปลงนาในระดับที่ต้องการได้เป็นอย่างดี
3. พื้นที่นาต้องราบเรียบสม่ำเสมอพอสมควรเมื่อปล่อยน้ำหรือระบายน้ำออกจะทำให้ท่วมหรือแห้งสม่ำเสมอ ป้องกันการเกิดปัญหาตอซังในที่ต่ำจมน้ำและเน่าเสียหาย ทำให้หน่อข้าวไม่งอก
4. เก็บเกี่ยวข้าวด้วยรถเกี่ยวข้าวในระยะ " พลับพลึง " ซึ่งต้นข้าวจะยังสดไม่แห้งเกินไปเวลาใช้ทำเป็น " ต้นพันธุ์(clone) " หน่อข้าวจะแตกเป็นต้นข้าวใหม่ที่แข็งแรงและเจริญเติบโตดี
5. เกลี่ยฟางคลุมตอซังให้สม่ำเสมอทั้งแปลง
6. ตอซังที่ใช้ปลูกข้าวแบบล้มตอซังต้องไม่มีโรคและแมลงรบกวน ถ้ามีโรคและแมลงรบกวนต้องไถทิ้ง เตรียมดินและปลูกแบบหว่านน้ำตมใหม่
7. การปลุกแบบล้มตอซังไม่ต้องหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวเสริม เพราะข้าวจะมีอายุเก็บเกี่ยวแตกต่างกัน 2 รุ่น คือ อายุ 90 วัน และ 120 วัน ส่งผลให้ผลผลิตที่ได้เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วมีข้าวเขียวเจือปน ทำให้ขายได้ราคาต่ำ

ข้อดีของการปลูกข้าวตอซัง
1. ผลผลิต 800 - 900 กก./ไร่ ขณะที่อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 90 วัน
2. ลดค่าเตรียมดินประมาณ 150 บาท/ไร่
3. ลดค่าเมล็ดพันธุ์ 300 - 400 บาท/ไร่
4. ลดค่าสารเคมีควบคุมและกำจัดวัชพืช 80 - 100 บาท/ไร่
5. ลดค่าสารเคมีกำจัดหอยเชอรี่ 60 - 80 บาท//ไร่ ซึ่งการปลูกข้าวล้มตอซังนี้จะช่วยป้องกันหอยเชอรี่กัดกินโคนข้าวได้ เพราะได้มีการใช้ฟางคลุมดินปิดโคนข้าวไว้และพื้นนามีความชื้นหมาด ๆ ไม่มีน้ำให้หอยเชอรี่อาศัยอยู่ได้นั่นเอง
6. ลดต้นทุนรวมทั้งสิ้น 500 - 700 บาท/ไร่ หรือ 30 - 40 % ของต้นทุนทั้งหมด

และด้วยคุณค่าของภูมิปัญญาดังกล่าว คุณครูจ๊ะเอ๋ จึงได้พัฒนาชุดกิจกรรมการสอนสิ่งแวดล้อม เรื่องข้าล้มตอซังขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสารนิพนธ์ ระดับปริญญามหาบัณฑิต หลักสูตรการสอนสิ่งแวดล้อม มศว ประสานมิตร ซึ่งจะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป ค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น